Everything about บทความ
Everything about บทความ
Blog Article
ถ้าจะเพิ่มบทความดี ๆ อีกสักหมวด ที่เกี่ยวกับความรัก ก็คงต้องเริ่มด้วยเรื่องที่ว่า “ความรัก” คืออะไร กันก่อน เพราะหลังจากที่ชั่งใจอยู่นานว่า จะเขียนบทความเกี่ยวกับความรักดีไหม ก็สอบถามไปที่เพจ ผลตอบรับแบบไม่เป็นทางการคือ มีคนอยากอ่าน (หรือคิดไปเองไม่แน่ใจ) ครั้นพอถึงเวลาจริง ๆ เกือบคิดไม่ออกว่าจะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดี แต่ก็คิดได้ว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่า ความรัก คืออะไร?..
ระดมสมองคิดหัวข้อ. เขียนรายการหัวข้อที่น่าจะเขียนได้ เราอาจอยากเขียนเกี่ยวกับการอพยพหรืออาหารออร์แกนิก หรือศูนย์พักพิงสัตว์ใกล้บ้านเรา เราต้องทำให้หัวข้อแคบลงเพื่อจะได้เขียนออกมาเชื่อมโยงกันและสั้นกระชับ อีกทั้งเขียนได้เจาะลึกยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือทำให้บทความของเรามีความหนักแน่นมากขึ้น ถามตนเองด้วยคำถามดังต่อไปนี้ เราสนใจอะไรในหัวข้อนี้
เขียนตามโครงร่างที่วางไว้. เมื่อเราได้เขียนโครงร่างบทความเอาไว้แล้ว ให้ใช้โครงร่างนี้ช่วยเราให้เขียนบทความออกมาได้อย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน โครงร่างจะช่วยให้เราจำจดว่ารายละเอียดต่างๆ เชื่อมโยงกันและกันอย่างไร รวมทั้งรู้ว่าคำพูดที่จะหยิบยกมานั้นสนับสนุนประเด็นไหน
ความเก่ง เกิดขึ้นได้หลายแบบไม่ว่าจะ ความหมั่นเพียร(ฝึกซ้อม), ประสบการณ์, สิ่งแวดล้อมเกื้อหนุน, มีต้นทุนบางอย่างดี เหมือนคนเกิดมาร่างกายสูงใหญ่มีโอกาสเก่งในกีฬาหลายประเภท นี่ก็ถือว่าต้นทุนดี แต่เหล่านี้เองจึงย้อนไปบั่นทอนคนที่คิดว่าตนไม่เก่ง เช่น เราขี้เกียจ-ไม่มีเวลาซ้อม, เราไม่เคยทำมาก่อน, ยังไม่พร้อม, ต้นทุนไม่ดีเหมือนเขา ส่วนหนึ่งก็ใช่ว่าผิด แต่แน่นอนไม่ถูก และกลายเป็นถ่วงอนาคตอย่างมาก
…ก็เพราะเราชอบทำสิ่งเหล่านั้นมากกว่าแค่นั้นเอง…
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเขียนเรื่องอาหารออร์แกนิก เราอาจเน้นประเด็นที่ว่าผู้ซื้อไม่มีความรู้ความเข้าใจในฉลากออร์แกนิกซึ่งติดไว้ที่บรรจุภัณฑ์ ใช้เรื่องนี้เปิดไปสู่ประเด็นหลักของเรา หรือ “ย่อหน้าสำคัญ” ซึ่งสรุปแนวคิดสำคัญหรือมุมมองของเรา
เติมน้ำที่เกินครึ่งแก้ว (ต้นทุนเวลา)
ทำความรู้จักฉลามสายพันธุ์ใหม่จากใต้ทะเลลึกที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบอย่างต่อเนื่อง
เข้าใจต้นทุนของความทะเยอทะยานและรับมือกับราคาที่ต้องจ่ายในการเดินทางสู่ความสำเร็จ
เรื่องราวเบื้องหลังชัยชนะของ “สว. เสียงข้างน้อย” ฝ่าด่าน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ กลางดง “น้ำเงิน”
ลึกไปกว่านั้น เวลาคนหลงทางไปเจอคนหลงทางด้วยกันก็พยายามช่วยกัน ก็น้อยนักที่รอด (ก็ในเมื่อไม่มีใครรู้วิธีหลุดจากสิ่งนี้) ที่สุดก็ต้องแยกจากกัน คนเหล่านี้ก็จะบ่นว่า jun88 “ทิ้งกันในยามลำบาก” บ้างก็ “วันนี้มองข้ามวันหน้าว่ามาขอแล้วกัน” หรือไม่ก็ “ถ้าผ่านไปได้จะไม่กลับไปมอง” มันก็น่าตลกที่ทำไมไปคาดหวังกับคนที่เขาก็ยังลำบากเหมือนกัน แแต่คนที่ชี้ทางให้ได้กลับกลายเป็นรั้นและต่อต้านประมาณว่า “เขาไม่เข้าใจสถานะของเรา”
“เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อแข่งขันกับใคร แต่เรามีชีวิตเพื่อ ‘ใช้ชีวิต’”
“การยอมรับ – ทำไมต้องรับ” กับผลลัพธ์ที่แตกต่าง
บีบีซีไทยพูดคุยกับนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ว่าเหตุใดผู้คนจึงหลงเชื่อในธุรกิจเครือข่ายหรือแชร์ลูกโซ่เมื่อโดนโน้มน้าวด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียง เบื้องหลังของธุรกิจเหล่านี้มีกลวิธีทางจิตวิทยาที่เล่นกับใจคนอย่างไร ?